Dhamma Today

มาฆบูชารำลึก

มาฆบูชารำลึก

วัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 เริ่มเวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

มาฆบูชา  ปวงประชาชาวพุทธ  กายวาจาใจบริสุทธิ์  บูชาพระพุทธองค์



โอวาทปาฏิโมกข์ โดยหลวงพ่อพุทธทาส

“ศิษย์ดีเพราะมีครู”

“ศิษย์ดีเพราะมีครู”

“ศิษย์ดีเพราะมีครู”

คำว่า “ศิษย์ดีเพราะมีครู” เป็นคำพูดที่มีเหตุผลอันน่าคิด แฝงไว้ซึ่งคติอันน่าเลื่อมใส เตือนใจของคนทุกคนให้สำนึกระลึกถึงพระคุณของครู เพื่อกันความประมาทลบหลู่บุญคุณของครู บรรดาศิษย์ทั้งหลายควรพากันจำไว้ให้ขึ้นใจ นึกไว้เสมอว่า “ศิษย์ดีเพราะมีครู” คำพูดประโยคนี้เป็นความจริงอันใคร ๆ จะลบล้างไม่ได้ แม้แต่คำสอนในทางพระพุทธศาสนาก็กล่าวไว้สอดคล้องต้องกันว่า ในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมดีแล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุด มนุษย์ทุกคนต้องมีครูคอยแนะนำพร่ำสอนก่อนจะเป็นคนดีได้ มิฉะนั้นแล้วก็จะกลายเป็นไอ้วอกในป่า ไม่มีค่าอะไรสมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังนั้น คนเราจะดีต้องมีครู  อันดับแรกควรจะได้ศึกษาในปัญหาเรื่องครูกันเสียก่อนแล้วจึงค่อยพูดกันในข้อที่ว่า “ศิษย์จะดีเพราะมีครู” กันต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะปัญหาใหญ่อยู่ที่ครู บุคคลประเภทไหนที่เรียกกันว่า “ครู” นี่คือปัญหาที่ต้องคิดกัน คำว่า “ครู” ตามตัวหนังสือนิยมแปลกันว่า “บุคคลที่ควรเคารพบูชา” เพราะเหตุว่า บรรดามนุษย์ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องศึกษาวิชาความรู้ไว้สำหรับประดับตัวทุกคน ถ้าเกิดมาเป็นคนเหมือนเขา แต่ไม่ศึกษาเล่าเรียนอะไร หาวิชาศิลปศาสตร์อะไรแม้แต่อย่างเดียวก็ไม่ได้ ก็เป็นคนอาภัพอับวาสนาหาที่พึ่งไม่ได้เพราะวิชาความรู้นั้นเป็นทั้งอำนาจวาสนา เป็นทั้งเกียรติยศชื่อเสียง มหาเสน่ห์มหานิยม เพราะฉะนั้น คนเราทุกคนจึงต้องเรียนวิชาศิลปศาสตร์ไว้สำหรับประดับตัว บุคคลผู้ที่สอนวิชาศิลปศาสตร์ต่าง ๆ ให้นั่นแหละชื่อว่า “ครู” หรือ “อาจารย์” ครูอาจารย์มีหลายประเภทเรียกชื่อไปตามวิชาที่สอน สุดแท้แต่ว่าเป็นผู้สอนวิชาอะไร ก็เรียกชื่อไปตามวิชาที่สอนนั้น เช่น ครูศีลธรรม ครูวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ในสมัยโบราณคนนับถือครูอาจารย์ในฐานะที่ควรเคารพบูชารองลงมาจากมารดาบิดา แม้แต่ในปัจจุบันทุกวันนี้ ครูอาจารย์ที่ดีพร้อมทั้งวิชาและความประพฤติก็ได้รับความเคารพบูชาจากศิษย์อยู่เสมอ ถ้าหากครูไม่ได้รับความเคารพบูชาจากศิษย์เท่าที่ควรแล้ว ก็อาจเป็นได้ด้วยเหตุ ๒ ประการคือ ครูเองประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นครู แม้จะมีวิชาความรู้ดี แต่ขาดจรณะคือความประพฤติและศีลธรรมจรรยาอันดีงาม ทำให้ศิษย์เคารพไม่ค่อยสนิทใจ คือน้อมคำนับไม่ลง เพราะครูทำตัวเป็นเพียงคนสอนหนังสือ ไม่มีวิญญาณแห่งความเป็นครูอยู่ภายในจิตใจบ้างเลย นี้ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง เป็นเพราะนิสัยอกตัญญูไม่รู้จักคุณของศิษย์เอง คนที่ “อกตัญญู” นั้น อย่าว่าแต่เพียงให้วิชาความรู้ไปประกอบอาชีพเลย แม้จะให้แผ่นดินทั้งหมดแก่เขา คน “อกตัญญู” ก็หารู้จักคุณไม่ บางทีกลับทำลายล้างผลาญครูอาจารย์ผู้ส่งเสริมตนเองเสียอีก หลักธรรมทางพระพุทธศาสนากล่าวตำหนิคน “อกตัญญู” ไว้อย่างน่าฟังว่า ไม้ลอยน้ำยังดีกว่าคนอกตัญญู คนอกตัญญูไม่มีประโยชน์อะไร ดังนี้ ครูที่ดีนั้นตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๗ ประการ คือ  ปิโย ครุ ภาวนีโย     วตฺตา จ วจนกฺขโม  คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา  โน  จาฎฺฐาเน  นิโยชเย.  ๑. ปิโย เป็นผู้น่ารักใคร่ประทับใจ  ๒. ครุ เป็นผู้น่าเคารพยำเกรง  ๓. ภาวนีโย เป็นผู้น่ายกย่องสรรเสริญ  ๔. วัตตา เป็นผู้สามารถสอนศิษย์ให้เป็นคนดีได้  ๕. วจนักขโม อดทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของศิษย์ได้  ๖. คัมภีรัญจ กถัง กัตตา ทำเรื่องยากให้ง่ายอธิบายให้ศิษย์เข้าใจได้  ๗. โน จัฏฐาเน นิโยชเย ไม่ชักชวนศิษย์ไปในทางเสียหาย  ๑. ทำตนให้เป็นที่รักใคร่ประทับใจของศิษย์ ข้อนี้มิได้หมายความว่า ครูจะต้องทำตัวประจบศิษย์ แต่หมายถึงการวางตัวให้เหมาะสม ครูจะต้องประพฤติตนเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายแสดงอาการขึ้น ๆ ลง ๆ พูดให้ตรงความหมายก็คือไม่เป็นอารมณ์ คือไม่พอใจกับใครที่ไหนก็พาลนำเอามาเป็นอารมณ์ในเวลาสอนศิษย์ อันผิดวิสัยของครูที่ดี ครูที่ดีต้องมีใจหนักแน่นในเหตุผล เป็นคนมีศีลดีมีธรรมงาม ตามคำสอนของศาสนา จึงจะได้ชื่อว่าเป็นที่รักใคร่ประทับใจของศิษย์ทั้งหลาย  ๒. เป็นผู้ที่น่าเคารพยำเกรงนั้นคือครูต้องเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่นในธรรม ไม่ใช่เป็นผู้มีจิตใจเหลาะแหละโลเลพูดอย่างทำอย่าง และอย่าทำผิดสัญญากับลูกศิษย์บ่อยๆ ต้องตรงต่อเวลา สัญญาต้องเป็นสัญญา พูดจริงทำจริง ไม่เป็นคนเจ้าโทสะ ต้องรู้จักให้อภัยในความผิดพลาดของลูกศิษย์เสมอ ถือเสียว่าคนเราย่อมมีความผิดพลาดบกพร่องเป็นธรรมดา แต่ก็ต้องทำโทษบ้างในโอกาสและเหตุการณ์อันสมควร ถือสุภาษิตที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง” ต้องเป็นคนไม่มีอคติในใจ ถ้าทำได้เช่นนี้ ครูก็เป็นที่เคารพยำเกรงของศิษย์ เพราะมีจิตประกอบด้วยคุณธรรม  ๓. เป็นผู้น่ายกย่องสรรเสริญ ข้อนี้ครูต้องหมั่นแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยในการศึกษา หาความรู้มาเป็นอาภรณ์ประดับตน รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและสภาวะการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิชาการซึ่งมีลักษณะรุดไปข้างหน้าเสมอ ครูจะต้องเป็นคนทันสมัย แต่ไม่ถึงกับล้ำสมัยมากเกินไป ทั้งในด้านความคิดเห็นและการแต่งกาย รวมความแล้ว ก็คือว่าครูจะต้องปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ หยุดไม่ได้ต้องเป็นผู้มีความรู้อย่างเชี่ยวชาญในวิชาการที่สอน และมีความรู้รอบตัวพอสมควร ประกอบด้วยมีจิตใจอันเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียงด้วยอคติ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง และเพื่อให้ศิษย์มีความมั่นใจในคำสอนของครู ด้วยอาการอย่างนี้ ครูจึงต้องอ่านมาก ศึกษาค้นคว้ามาก จำหลักได้แม่นยำ จึงจะทำให้เกิดความยกย่องสรรเสริญในระหว่างศิษย์ทั้งหลาย  ๔. เป็นผู้สามารถสอนศิษย์ให้เป็นคนดีได้ ครูจะต้องหมั่นอบรมสั่งสอน และตักเตือนลูกศิษย์อย่างใกล้ชิดเสมอ ครูบางคนเกียจคร้านในการสอนมาก สอนเพียงเพื่อจะให้หมดเวลา แถมแส่หาเรื่องอื่นนอกวิชาที่สอนมาคุยให้ศิษย์ฟัง และเรื่องที่คุยนั้นก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแก่ศิษย์ มีแต่เป็นพิษเป็นภัยแก่จิตใจของผู้ฟัง แต่มีข้อยกเว้นอยู่ว่า หากเรื่องที่คุยนั้นเป็นไปเพื่อทำให้ศิษย์มีวิริยะ อุตสาหะ มีความละอายบาป ตั้งใจละชั่วประพฤติดี การคุยนอกเรื่องวิชาที่สอนนั้น ก็ถือว่าเป็นการสอนดี เข้าใจวิธีอบรมศิษย์ให้เป็นคนดี ครูจะต้องเป็นคนคล่องแคล่วว่องไวเสมอ หากครูเป็นคนเฉื่อยชาเสียแล้ว ไหนเลยนักเรียนนักศึกษาจะมีความกระตือรือร้นในการเรียนการศึกษา  อนึ่ง ครูต้องหมั่นเอาใจใส่ตักเตือนศิษย์ในเรื่องความประพฤติ จรรยามารยาท ชี้แจงให้ศิษย์เห็นว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อย่าถือว่าธุระไม่ใช่ ในระยะแรก ๆ เด็กอาจจะไม่ชอบในความจู้จี้จุกจิก แต่เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่รู้จักผิดชอบชั่วดีแล้วนั่นแหละ เขาจึงจะระลึกถึงพระคุณของครูในภายหลัง ในการสอนนั้นครูต้องหวังผลในอนาคตมากกว่าในปัจจุบัน เหมือนชาวสวนรดน้ำต้นไม้ที่โคน แต่ย่อมหวังผลที่ปลาย แต่ก็ควรระวังอย่าเอาน้ำร้อนไปรดต้นไม้เข้า นอกจากจะไม่งามแล้ว ยังทำให้ต้นไม้ตายเสียอีก การสอนศิษย์ก็เหมือนกัน พยายามใช้ไม้นวมและใช้น้ำเย็นเข้าลูบให้มาก ถ้าอยากให้ศิษย์เป็นคนดี  ๕. เป็นผู้อดทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของศิษย์ได้ ครูควรทำตนให้เป็นคนควรแก่การตักเตือนของคนอื่นบ้าง ไม่เพียงแต่สอนเขาข้างเดียว ให้เขาสอนเราบ้าง คือเมื่อตนเองทำอะไรผิดพลาดไป คนอื่นตักเตือนว่ากล่าวก็ควรรับฟังและควรรับฟังด้วยความชื่นใจเต็มอกเต็มใจ เพื่อความปลอดภัยในการดำรงชีวิตในสังคมของเรา เราควรทำตนให้เป็นคนว่าง่ายเตือนง่าย ทำตนให้เป็นคนว่ากล่าวตักเตือนได้ ทักท้วงได้ ไม่ใช่พอใครเตือนนิดก็ออกฤทธิ์เป็นฟืนเป็นไฟ บางครั้งแม้จะถูกลูกศิษย์ในชั้นวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ก็ต้องใช้ขันติความอดทน อดได้ทนได้ และหากจะมีการโต้ตอบคำวิพากษ์วิจารณ์นั้น ก็ต้องโต้ตอบด้วยจิตใจเป็นปกติปราศจากอารมณ์ขุ่นเคือง การทำตนให้เป็นคนควรแก่การเตือนได้นั้น เป็นความน่าเคารพนับถือ สำหรับครู และผู้ใหญ่โดยทั่วไป  ๖. ทำเรื่องยากให้ง่าย อธิบายให้ศิษย์เข้าใจได้ ครูต้องมีความสามารถอธิบายคำที่ยากให้ง่ายได้ คำที่ลึกให้ตื้นได้ ด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ เรื่องที่ยากแสนยากถ้าหากฉลาดในอุบายการสอนแล้วก็สามารถทำให้ง่ายได้ ดังนั้น ครูจึงต้องหมั่นคิดหมั่นฝึกฝน หมั่นค้นคว้าในวิชาการให้มาก เพื่อประกอบในการสอนให้ศิษย์เข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ  ๗. ไม่ชักชวนลูกศิษย์ไปในทางเสียหาย ครูต้องไม่ชักชวนแนะนำศิษย์ในทางเสื่อมเสียต่าง ๆ เช่น ไม่ชักชวนในการดื่มน้ำดองของเมาเหล้าสุรา ยาเสพติดให้โทษ ไม่ชักชวนเล่นการพนัน ไม่ชักชวนเที่ยวกลางคืน ไม่ชักชวนให้มัวเมาในการเล่น ไม่ชักชวนให้คบเพื่อนไม่ดี เป็นต้น การสอนของครูนั้นมีอยู่ ๒ วิธี คือ สอนโดยการแนะนำด้วยวาจาประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง คือการทำตัวอย่างให้ดู ประการหลังนี้มีความสำคัญมากกว่า เพราะตัวอย่างนั้นเป็นสิ่งประทับใจมากกว่าคำสอน ดังนั้น ครูต้องประพฤติแต่ในสิ่งที่ดีให้เด็ก-นักเรียนเห็น แล้วเด็กจะได้ถือเอาเป็นแบบอย่างโดยไม่ต้องชักชวน  ตามที่กล่าวมานี้ เป็นทัศนะทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับบุคคลผู้เป็นครูโดยเฉพาะเมื่อพิเคราะห์ดูคุณสมบัติของครูแต่ละข้อแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ท่านเลือกเฟ้นธรรมะแต่ละอย่างมาเป็นคุณสมบัติของครูได้เหมาะสมที่สุด และดีที่สุด บุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติทั้ง ๗ ประการนี้แล้ว จึงได้นามว่า “ครู” หรือ “อาจารย์” ถ้าหากปราศจากคุณธรรมทั้ง ๗ ประการนี้แล้ว หรือแม้แต่ข้อใดข้อหนึ่ง หาชื่อว่าเป็นครู หรืออาจารย์ที่สมบูรณ์ไม่ จะเป็นได้ก็เพียงคนสอนหนังสือเด็กเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ครูที่ดีทั้งหลาย จึงควรปลูกฝังคุณธรรมดังกล่าวนี้ ให้เกิดให้มีภายในจิตใจ เพื่อจะได้เป็นแม่พิมพ์หรือแบบอย่างที่ดีของบรรดาศิษย์ต่อไป และเพื่อให้สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “ศิษย์ดี เพราะมีครู” เมื่อได้พูดถึงเรื่องปัญหาของครูมาพอสมควรแล้ว เราก็มาพิจารณาปัญหาเรื่องศิษย์กันต่อไป คำกล่าวที่ว่า “ครูดี ศิษย์ดี” หรือ “เมื่อครูดี ศรีของครูชูศิษย์ด้วย” นั้น เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง แต่ว่า ก็ยังไม่ค่อยจะสมบูรณ์นัก ทั้งนี้ก็เพราะมีเหตุผลว่า ครูที่ดีนั้นก็ย่อมอบรมสั่งสอนได้เฉพาะศิษย์ผู้สมควรจะอบรมสั่งสอนได้เท่านั้น หากศิษย์ไม่อยู่ในฐานะที่จะอบรมสั่งสอนได้ เป็นศิษย์จำพวกนอกครู ครูก็หมดปัญญาที่จะอบรมสั่งสอนเหมือนกัน ตัวอย่างศิษย์อัปรีย์คิดล้างครู เช่นพระเทวทัต เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ศิษย์ที่รักความเจริญก้าวหน้าในชีวิต จึงควรคิดสร้างวิญญาณแห่งความเป็นศิษย์ที่ดีให้เกิดให้มีขึ้นในจิตใจของตน เพื่อให้สมกับว่าเราเป็นศิษย์ อย่าอวดดีตีตนเสมอครู ศิษย์ที่ดีนั้นตามทัศนะของพระพุทธศาสนา ต้องประกอบด้วยลักษณะ คือ  ๑. ให้ความเคารพต่อครูตามสมควรแก่โอกาสและกาลเทศะ อย่าแสดงตนเป็นคนเจ้าทิฎฐิมานะ ไม่มีสัมมาคารวะต่อครูเสียเลย และไม่ควรประพฤติตนเป็นคนประเภท “ลิงหลอกเจ้า” หรือ “ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก”  ๒. เมื่อเห็นครูทำงานอยู่ ถ้าเรามีโอกาสพอจะคอยรับใช้ท่านตามโอกาสและเวลาอันสมควร ก็อย่าดูดายหรือเพิกเฉยแต่อย่าให้ถึงกับเป็นการประจบครู การที่เรามีโอกาสรับใช้ครูนั้น แสดงว่าเป็นคนมีแววแห่งความฉลาด สร้างความรัก ความเอ็นดูให้เกิดขึ้นในจิตใจของครู  ๓. ให้ประพฤติตนเป็นคนอ่อนน้อม รับฟังโอวาทของครูโดยความเคารพ ว่านอนสอนง่าย อย่าเป็นคนดื้อรั้น ดันทุรัง คิดเสียว่า เราจะดีเพราะมีครู ๔. ให้ปรนนิบัติครูอาจารย์ตามโอกาสเวลาอำนวย ให้ช่วยเหลือท่านในกิจการบางสิ่งบางอย่าง การปฏิบัติครูอาจารย์ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลอันสูง อย่าเห็นว่าธุระไม่ใช่  ๕. ขณะที่อยู่ในห้องเรียนหรือชั้นเรียน ครูท่านสอนวิชาอะไรให้ตั้งใจฟังตั้งใจเรียนโดยเคารพ อย่าทำสิ่งอื่นใดในขณะครูสอน เพราะนอกจากไม่เคารพครูผู้สอนแล้ว ตัวเองก็ไม่เข้าใจในวิชาที่ครูสอนนั้นด้วย การไม่ตั้งใจฟัง ไม่ตั้งใจเรียนโดยเคารพนั้น ชื่อว่าสร้างความอาภัพให้แก่ตัวเอง เป็นอัปมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้น ศิษย์ที่ดีทั้งหลายจึงควรพากันสังวรให้ดี  เมื่อครูอาจารย์และศิษย์ ต่างก็ตั้งอยู่ในคุณสมบัติของตนตามที่กล่าวมานี้ เรื่อง “ศิษย์ดีเพราะมีครู” ก็เห็นจะไม่มีผู้สงสัย เพราะความกระจ่างชัดอยู่แล้ว ข้อสำคัญขอให้ครูและศิษย์เป็นมิตรกันในทางธรรม ฝ่ายครูก็เป็นครูในอุดมคติ คือเป็นผู้นำทางจิตทางวิญญาณจริงๆ อย่าเป็นแต่เพียงคนสอนหนังสืออย่างเดียว ฝ่ายศิษย์ก็ให้เป็นศิษย์ “กตัญญู” รับรู้พระคุณของครูอาจารย์ เช่น ท่านพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา ท่านได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิแล้ว ภายหลังเมื่อท่านทราบว่า พระอัสสชิอยู่ทางทิศไหน ท่านก็ตั้งใจส่งกระแสจิตไปถวายความเคารพต่ออาจารย์โดยทางทิศนั้น ศิษย์ที่มีความหนักแน่นในการเคารพครูอาจารย์ ย่อมประสพแต่ความเกษมสำราญ ตลอดกาลเป็นนิตย์แล

พลังความคิด

พลังความคิด

พลังความคิด
จิตฺเตน  นียติ  โลโก         จิตฺเตน  ปริกสฺสติ
จิตฺตสฺส  เอกธมฺมสฺส      สพฺเพว  วสมนฺวคู.
ความคิดย่อมนำโลกไป    ความคิดทำให้โลกดิ้นรน
บุคคลทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของความคิดอย่างเดียวกันเท่านั้น
“อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด  อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา”  ความคิดมันมีอิทธิพล อาจจะดลบันดาลให้คนเราทำอะไรก็ได้  ตามอำนาจอิทธิพลของความคิดนั้น  ความคิดมันเป็นได้ทั้งมิตร เป็นได้ทั้งศัตรู เป็นได้ทั้งฝ่ายสร้าง เป็นได้ทั้งฝ่ายทำลาย  และเป็นอะไรได้อีกมากมายหลายประการ คือ มันเป็นเสมือนหนึ่งว่าดาบสองคม  ใช้ถูกใช้เป็นมันก็ให้คุณ  แต่ถ้าใช้ไม่เป็น ใช้ผิด มันก็ให้โทษ  เจ้าความคิดนี้มันก็เหมือนกัน  คิดดีก็เป็นศรีแก่ตัว  แต่ถ้าคิดชั่วก็พาตัวฉิบหาย  ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง  นี่คืออิทธิพลของความคิดในฝ่ายแห่งความชั่ว  ถ้าคนเราคิดชั่วมาก ๆ เข้า เจ้าความคิดชั่วนี้แหละ มันก็จะรบเร้าผลักดันให้คนเราพูดชั่วและทำชั่ว  ในทำนองเดียวกัน  ในฝ่ายแห่งความดี ถ้าคนเราคิดแต่เรื่องที่ดี ๆ  นาน ๆ เข้าก็จะเร้าให้คนเราพูดแต่เรื่องที่ดี ๆ และก็ประกอบกระทำแต่ความดี
สังคมใดที่มากไปด้วยคนคิดชั่ว  สังคมนั้นก็เต็มไปด้วยคนพูดชั่ว คนทำชั่ว  พฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย ทางวาจา ของคนคิดชั่ว  ก็มีแต่เรื่องเป็นพิษเป็นภัยแก่สังคมนานัปการ  บ้านเมืองระส่ำระสายวุ่นวายไปทุกหย่อมหญ้า  สาเหตุสำคัญก็เกิดจากอิทธิพลของคนคิดชั่วนั้นเองเป็นผู้ก่อขึ้น  แต่ถ้าหากสังคมใดมากไปด้วยคนคิดดี  สังคมนั้นก็มีแต่คนพูดดี คนทำดี ทุกหนทุกแห่งแข่งกันประกอบคุณงามความดี  เป็นศรีทั้งแก่ตนและสังคมส่วนรวม ประเทศชาติ  ความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน   ก็เกิดขึ้นในสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน
เรื่องของความคิดนี้  มีคนเคยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
“อะไรนำโลกไป  อะไรทำให้โลกดิ้นรน?  บุคคลทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของอะไร?
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า
“ความคิดนำโลกไป ความคิดทำโลกให้ดิ้นรน
บุคคลทั้งหลาย ตกอยู่ในอำนาจอิทธิพล
ของความคิดอย่างเดียวเท่านั้น”
อธิบายว่า คำว่า “โลก” ในที่นี้ หมายถึงโลกคือหมู่มนุษย์คือมนุษย์โลก  ไม่ได้หมายถึงโลกคือแผ่นดิน  โลกคือหมู่มนุษย์จะดำเนินไปในทางทิศไหน  ก็สุดแล้วแต่ความคิดของมนุษย์จะนำไป จะไปทางดีหรือทางชั่ว ทางสงบ  หรือทางวุ่นวาย ทางสงเคราะห์อนุเคราะห์ ทางเมตตากัน หรือทางเบียดเบียนกัน  ก็สุดแล้วแต่ผู้นำโลกคือ “ความคิด”  วิถีชีวิตขึ้นอยู่กับความคิดเป็นผู้นำทาง  ความคิดเป็นมัคคุเทศก์  เป็นเหตุให้คนเดินตามเหมือนคนนำเที่ยวอย่างนั่นแหละ สุดแล้วแต่ผู้นำ ผู้นำจะพาไปที่ไหน ก็ไปกันที่นั้น  ความคิดมันมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนเราเป็นอันมาก  ถ้าหากคนเราคิดเรื่องอะไรกันบ่อย ๆ ในที่สุดก็จะพูดและทำตามอิทธิพลของความคิดนั้น  ทั้งนี้ ก็เพราะพลังแห่งความคิดนั้นเองผลักดันให้เป็นไป  บุคคลมีกระแสความคิดพุ่งแรงไปในทางใด  วิถีชีวิตของเขาก็หันเหไปตามทางแห่งความคิดนั้น  นี่คือความหมายของคำว่า “ความคิดนำโลกไป”
ความคิดทำให้โลกดิ้นรน  โลกคือหมู่มนุษย์ดิ้นรน ก็เพราะจิตดิ้นรน หรือความคิดของคนนั้นเองดิ้นรน  คนเรากระเสือกกระสนดิ้นรนไปตามอำนาจความคิดของตน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิดที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส เช่น โลภะ คิดโลภอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน  ทำให้บุคคลดิ้นรนไปในทางโลภมากอยากได้ไม่เลือกทาง  เอาทุกอย่างขอให้ได้มาสนองความอยาก คดโกง คอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง ปล้นสดมภ์ ตีชิง วิ่งราว กล่าวตู่ กรรโชค ฆ่าเจ้าเอาของ นี่คือลักษณะของความคิดที่เต็มไปด้วยความโลภ  ก็บังคับให้บุคคลกระเสือกกระสนดิ้นรนไปในทางทำความชั่วนานาประการ  แล้วแต่อำนาจของความโลภจะชักจูงไป  ความคิดที่เป็นไปด้วยอิทธิพลของโทสะ  ก็ทำให้บุคคลกระเสือกกระสนดิ้นรนไปในการเบียดเบียน  การฆ่าฟันรันแทง  ทำลายล้างผลาญซึ่งกันและกัน  ส่วนความคิดที่เป็นไปด้วยอำนาจอิทธิพลของโมหะ  ก็ทำให้บุคคลดิ้นรนไปในทางลุ่มหลงมัวเมา  ประมาทขาดสติ  ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ พูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด นี่คือความหมายคำว่า “ความคิดทำให้โลกดิ้นรน”
บุคคลทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจอิทธิพลของความคิดอย่างเดียวเท่านั้น  ข้อนี้ หมายความว่า ความคิดเป็นผู้ลิขิตชีวิตของคนทุกคน  คนเราจะชั่ว จะดี จะมี จะจน จะโง่ จะฉลาด จะเสื่อม จะเจริญ อะไร ก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของความคิดแต่อย่างเดียว  คำว่า “ความคิด” ในที่นี้ก็โปรดเข้าใจให้ถูกต้องด้วยว่า หมายถึงเจตนาความตั้งใจ คือตั้งใจคิด  ไม่ใช่ความเพ้อฝัน ลม ๆ แล้ง ๆ เช่น คิดอยากเป็นเศรษฐีในทางลัด คิดอยากรับมรดก  แบบนี้มันเป็นความละเมอเพ้อฝันเท่านั้น  มนุษย์ทุกรูปทุกนามเป็นไปตามอำนาจอิทธิพลของความคิด คิดดีวิถีชีวิตก็ดำเนินไปด้วยความราบรื่น  ประสบกับความเจริญก้าวหน้าอันเป็นยอดปรารถนา  แต่ถ้าคิดไม่ดีวิถีชีวิตก็กระเสือกกระสนดิ้นรนไปตามอำนาจกิเลสตัณหา  พาให้ตกทุกข์ได้ยากลำบากเดือดร้อนนานัปการ  นี่คือความหมายของคำว่า “บุคคลทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของความคิดอย่างเดียวเท่านั้น”
เมื่อเราทุกคนทราบแล้วว่า ความคิดของคนเรามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต  และอนาคตของเรามากเช่นนี้  เราก็ควรจะสร้างแนวโน้มความคิดของเราให้ดี  วางแนวความคิดของเราให้ถูกต้องชอบธรรม หมายถึงความตั้งใจในทางที่ดีนั้นเอง  คือคนเราจะทำอะไรให้ได้ผลดี  สำเร็จประโยชน์แก่ตนและคนอื่น  เริ่มแรกก็จะต้องมีความตั้งใจดีเสียก่อน  พยายามสร้างกระแสจิตของเราให้พุ่งไปในทางที่ดี ในทางสุจริต ความตั้งใจในทางที่ดีนี้ เช่น ตั้งใจอยู่เสมอว่า เราจะต้องเป็นคนดี เป็นพระดี เป็นพ่อดี เป็นแม่ดี เป็นครูเป็นอาจารย์ดี เป็นหัวหน้าหมู่หัวหน้าคณะดี เป็นผู้ปกครองดี เป็นผู้นำ  เป็นอะไรก็ต้องเป็นให้ดี  ตั้งใจที่จะทำแต่ความดี เพราะความคิดของคนเราพุ่งไปในทางใด กระแสจิตน้อมไปในทางใด วิถีชีวิตของคนเราก็ย่อมดำเนินไปในทางนั้น  ตามที่กล่าวมานี้  พอจะมองเห็นได้แล้วว่า ความคิดมีความสำคัญเพียงไร  ด้วยเหตุนี้ คนเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตั้งความคิดไว้ในทางที่ดี ที่ถูกต้องและชอบธรรม
อีกอย่างหนึ่ง คนเราควรมีความคิดในการต่อสู้กับอุปสรรค ชีวิตทุกชีวิตย่อมต้องประสบกับอุปสรรคมากบ้าง น้อยบ้าง หนักบ้าง เบาบ้าง  ตามส่วนแห่งการงานที่กระทำลงไป  เข้าหลัก “ทำดีต้องมีมาร ทำงานต้องมีอุปสรรค” งานใหญ่ อุปสรรคก็ใหญ่  เหมือนเรือใหญ่ต้องคลื่นใหญ่ ฉะนั้น  คนที่จะต้องผ่านอุปสรรคไปได้นั้น  ต้องเป็นคนที่มีความคิดในทางต่อสู้ ในทางเผชิญหน้า ไม่ใช่คิดในทางหนี   ถ้าเราคิดสู้เราก็เอาชนะอุปสรรคได้  แต่ถ้าเราคิดหนี ก็พ่ายแพ้แก่อุปสรรคนั้น อุปสรรคมันก็เหมือนสุนัขดุ เมื่อเราเผชิญหน้ากับสุนัขดุ ถ้าเราวิ่งหนี สุนัขก็จะกระโดดเข้ากัดเราทันที  แต่ถ้าเราจ้องหน้าสู่กับมัน  มันก็จะถอยไม่กล้ากระโดดเข้ามากัด เพราะมันกลัวถูกโต้กลับ ในทำนองเดียวกัน  เมื่อเราพบกับอุปสรรค  ถ้าเราคิดหนี มันก็จะขยี้เราทันทีทันควัน  ถ้าเรากัดฟันฮึดสู้  มันก็หมดประตูที่จะสู้เราได้แล้วก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด  มนุษย์ที่จะต่อสู้กับชีวิต ก็ต้องใช้พลังความคิด กำลังใจเป็นอันมาก เราจำเป็นจะต้องสร้างความคิดในการต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการรอบด้านทีเดียว คนที่ประสบความสำเร็จมีความรุ่งโรจน์ในชีวิตนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีพลังความคิดอันเข้มแข็ง สามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ ไม่มีปัญหา
ความสำคัญของความคิด เพื่อให้ทุกคนมองเห็นความสำคัญของความคิด ก็ขออ้างพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา   มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน       ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ      จกฺกํว วหโต ปทํ.
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความคิดเป็นประธาน, สำคัญที่ความคิด ย่อมสำเร็จได้ด้วยความคิด ถ้าคนคิดไม่ดี ย่อมพูดไม่ดี และทำไม่ดี หลังจากนั้น ความทุกข์ย่อมตามเขาไป เหมือนล้อเกวียนหมุนไปตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉะนั้น
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา     มโนเสฏฺฐา  มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน        ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมนฺเวติ          ฉายาว อนุปายินี.
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความคิดเป็นประธาน สำคัญที่ความคิด สำเร็จได้ด้วยความคิด ถ้าคนคิดดี ย่อมพูดดี และทำดี หลังจากนั้น ความสุขย่อมตามเขาไป ดุจเงาตามตนไป ฉะนั้น
ตามความหมายของพุทธภาษิตนี้ ชี้ให้เห็นชัดว่า ความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งมีอำนาจอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนเรา เปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงโลก เมื่อความคิดเปลี่ยนไป การดำเนินชีวิตของคนเราก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย การเปลี่ยนไปแห่งการดำเนินชีวิตของคนเรา ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสังคม เมื่อสังคมเปลี่ยนไป โลกก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เพราะสังคมแต่ละสังคมประกอบกันขึ้นเป็น “โลกมนุษย์” เมื่อมนุษย์ในโลกมีแนวความคิดมุ่งไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต พวกเขาก็ย่อมพากันมุ่งแสวงหาวัตถุเป็นจุดสำคัญ สาละวนวุ่นวายขวนขวายแต่ในเรื่องวัตถุ แต่ถ้าแนวความคิดของคนในโลกมุ่งไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางจิตใจเป็นสำคัญ แข่งขันกันพัฒนาจิตใจว่าใครจะมีจิตใจสูงด้วยคุณธรรมกว่ากัน คนที่จะได้รับการยกย่องนับถือมากที่สุด คือคนที่มีจิตใจสูงที่สุดด้วยคุณธรรม
ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมานี้ คนเราทุกคนจึงควรหาอุบายฝึกจิตใจของตนให้คิดไปแต่ในทางชอบธรรม อย่าปล่อยจิตให้คิดอะไรไปตามอารมณ์ชักจูง เดี๋ยวจะยุ่งกันใหญ่
ปล่อยให้ยุ่ง แล้วมันแย่ แก้มันยาก
ยิ่งยุ่งมาก มันยิ่งแย่ แก้ไม่ไหว
อย่าปล่อยยุ่ง นานนัก จะหนักใจ
ยิ่งนานไป ยิ่งยุ่งมาก ลำบากครัน
อุบายสำหรับฝึกจิตให้คิดแต่ในที่ดีที่ชอบนั้น ก็ได้แก่การฝึกจิตตามแบบสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน นั้นเอง  ในยุคก่อนนิยมฝึกโดยใช้อนุสสติ ๑๐ ประการเป็นอารมณ์ คือ
๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธ
๒. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงพระธรรม
๓. สังฆานุสสติ ระลึกถึงพระสงฆ์
๔. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลของตน
๕. จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนได้บริจาคแล้ว
๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงเทวดา (เทวธรรม)
๗. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงความสงบ (นิพพาน)
๘. มรณัสสติ ระลึกถึงความตาย
๙. กายคตาสติ ระลึกถึงกายของตน-คนอื่น-ไม่สวย-ไม่งาม
๑๐. อานาปานัสสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้า-ออก
การฝึกจิตตามแบบอนุสสติ ๑๐ ประการนี้ เป็นวิธีสร้างแนวโน้มให้จิตคิดแต่ในทางที่ดีมีคุณค่า ส่งเสริมให้จิตสูงขึ้นด้วยคุณธรรม การไหว้พระ สวดมนต์ สาธยายธรรม ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น ทุกวันมิได้ขาด ก็สามารถอบรมจิตให้คิดอยู่แต่ในทางที่เป็นบุญกุศล ส่งผลให้เกิดความคิดชอบ อันเป็นองค์ประกอบของอริยมรรคมีองค์ ๘ คือ “สัมมาสังกัปปะ” ความดำริชอบ อันเป็นองค์ประกอบของอริยะมรรคมีองค์ ๘ ในหมวดของปัญญา (สัมมาทิฏฐิ-สัมมาสังกัปโป)
การฝึกจิตโดยใช้ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอารมณ์ ในสังคมชาวพุทธทั้งหลายดูจะใช้กันมากที่สุด และก็ปรากฏว่าได้ผลดีที่สุดด้วย เพราะชาวพุทธทั้งหลายมีความเคารพศรัทธา เลื่อมใสในคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อยู่แล้ว เมื่อน้อมจิตให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย จิตใจก็จะแนบสนิทสถิตใกล้ชิดกับคุณพระตลอดเวลา คุณพระมีลักษณะเป็นความสงบ ความสะอาด และความสว่าง การระลึกถึงคุณพระบ่อย ๆ สม่ำเสมอ ตลอดเวลา ทุกเช้า ทุกเย็น ไม่เว้นแต่ละวัน นาน ๆ เข้าจิตใจของเราก็จะเกิดความสงบ ความสะอาด และความสว่าง อันเป็นแนวทางสร้างจิตให้คิดอยู่แต่ในที่ดี ที่ถูกต้องชอบธรรม
วิธีปฏิบัติ ในการฝึกจิตตามแบบ พุทธานุสสติ รำลึกถึงพระคุณของพระพุทธ, ธัมมานุสสติ รำลึกถึงพระคุณของพระธรรม, สังฆานุสสติ รำลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์นั้น ก่อนนอนทุกคืน ถ้าที่บ้านมีห้องพระ มีหิ้งพระก็ให้เข้าไปในห้องพระ กราบพระเสียก่อน ๓ ครั้ง แล้วกล่าวคำนมัสการพระรัตนตรัยว่า
อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  ภะคะวา,  พุทธัง        ภะคะวันตัง  อะภิวาเทมิ (กราบลง)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบลง)
สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ (กราบลง)
ถ้ากล่าวคำไหว้พระไม่ได้ เพียงแต่กราบพระด้วยความเคารพ ๓ ครั้งก็พอ ขอให้ทำด้วยความเคารพและตั้งใจ แล้วให้นั่งอยู่ในท่าอันสงบ จะนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิก็ได้ ถ้าจำเป็นจริง ๆ นั่งบนเก้าอี้ก็ได้ แล้วให้สำรวมกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในอาการแห่งความสงบ จากนั้นก็ให้ค่อย ๆ หลับตา ภาวนาในใจว่า “พุทโธ, ธัมโม, สังโฆ” เรื่อยไป ซ้ำๆ บ่อยๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ติดต่อกันอย่าขาดสาย เริ่มต้นใหม่ ๆ อาจจะใช้เวลาสัก ๑๐ นาที ๒๐ นาทีก็พอ แต่ถ้าสามารถทำได้นานก็ยิ่งดี แต่อย่าให้เกินประมาณสติกำลัง เพราะความรู้จักประมาณยังประโยชน์ให้สำเร็จ เมื่อทำการฝึกจิตพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงค่อยนอน พยายามฝึกอยู่อย่างนี้สม่ำเสมออย่าให้ขาด ก็สามารถฝึกจิตให้สงบได้ หลังจากตื่นนอน เมื่อทำ สรีระกิจเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เข้าห้องพระแล้ว กราบพระ ๓ ครั้ง แล้วนั่งฝึกจิตดังที่กล่าวมานั้นต่อไป ทำพอสมควรแล้วจึงค่อยไปทำกิจอย่างอื่น ก่อนนอน หลังตื่นนอน ถ้าฝึกหัดทำอย่างนี้สม่ำเสมอ ไม่นานนักก็จักสามารถทำกันได้ นี่คืออุบายวิธีสร้างจิตให้คิดไปแต่ในทางที่ดี ที่ชอบ
พลังความคิดมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนเรามาก ดังนั้นหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนเน้นหนักในหลักแห่งการฝึกจิต เพราะคนเราสำคัญที่จิต จิตเป็นผู้สั่ง เป็นผู้บงการ จิตเป็นประธาน เป็นหัวหน้า จิตเหมือนนาย กาย วาจา เหมือนบ่าว (คนใช้) การที่เราฝึกจิตตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นเหตุทำให้จิตใจคิดไปแต่ในทางที่ดี ที่ชอบ ประกอบด้วยลักษณะ ๓ ประการ คือ
เนกขัมมวิตก คิดไปในทางหลีกออกจากกาม
อัพยาปาทวิตก คิดไปในทางไม่พยาบาท
อวิหิงสาวิตก คิดไปในทางไม่เบียดเบียน
การคิดในการออกจากกามนั้น หมายความว่า พยายามอย่าให้จิตใจของเรา มัวเมาลุ่มหลงอยู่แต่ในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส รูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล อันเป็นบ่วงแห่งมาร มันคอยล้างผลาญคุณงามความดีของเราตลอดเวลา พยายามคิดในการดึงจิตให้ออกห่างจากกามคุณทั้ง ๕ นั้นเสีย แล้วจิตใจจะได้ปลอดโปร่งเบาสบาย กลายเป็นจิตอิสระ
การไม่คิดพยาบาทอาฆาตจองเวรแก่คนอื่นและสัตว์อื่นนั้น เป็นหลักสำคัญในอันที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดแก่ตนเองและคนอื่นที่อยู่ร่วมกัน มีเรื่องอะไรกระทบกระทั่งต่อกัน ก็ควรอภัยยกโทษไม่โกรธเคืองซึ่งกันและกัน ให้มีเมตตา รักใคร่กัน เมื่อใดจิตใจของเรามีเมตตา จะบ่ายหน้าไปทางทิศไหน ก็เจอแต่ไมตรีมิตรภาพ ด้วยเหตุนี้ คนเราทุกคนจึงควรดำริแต่ในการไม่พยาบาทจองเวรกัน
“อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก” ความไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก การคิดในการไม่เบียดเบียน ก็คืออย่าคิดเบียดเบียนคนอื่นและสัตว์อื่น ให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ เช่น ยิงนก ตกปลา กัดปลา ชนไก่ ทำไปด้วยความคะนอง ต้องการความสนุกสนานเพลิดเพลินของตน โดยไม่คำนึงนึกถึงความทุกข์ความเดือดร้อนของคนอื่นและสัตว์อื่น นี่คือการเบียดเบียน ส่วนการคิดไม่เบียดเบียนนั้น ก็คือการคิดในทางให้เกิดกรุณา ความสงสารต้องการช่วยเหลือคนอื่นและสัตว์อื่น ให้พ้นจากความทุกข์ และให้เกิดมุทิตา พลอยดีใจในเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี และพ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อนแล้ว นี่คือแนวทางสร้างความคิดให้น้อมไปในทางที่ชอบที่ดี ตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา โปรดพากันนำไปใช้ในชีวิตประจำวันกันเถิด จะเกิดสิริมงคล ส่งผลดีทั้งแก่ตนเอง และสังคมส่วนรวม ตลอดสังคมโลก เป็นนิจนิรันดร