นกมีขน คนมีเพื่อน

นกมีขน คนมีเพื่อน

นกมีขน คนมีเพื่อน 

สหาโย อตฺถชาตสฺส      โหติ มิตตํ ปุนปฺปุนํ

สยํ กตานิ ปุญญานิ       ตํ มิตตํ สมฺปรายิกํ.

          สหายเป็นมิตรของคนที่มีความต้องการบ่อยๆ บุญทั้งหลายที่ตนเองทำแบ้ว  บุญนั้นจะเป็นมิตรในกาลข้างหน้า “นกมีขน  คนมีเพื่อน” เป็นสำนวนไทยที่ใช้พูดกันมา ทุกยุค ทุกสมัย เพื่อเตือนใจให้ทุกคนยึดถือเป็นคติประจำใจว่า เกิดมาเป็นคนแล้วต้องมีลักษณะ “นกมีขน  คนมีเพื่อน” จึงจะทำให้เกิดมาเป็น “นก” เป็น “คน” นั้นมีประโยชน์ทั้งแด่ตนและคนอื่น ได้อย่างมหาศาล หาประมาณมิได้ ถ้าเกิดมาเป็น “นกไม่มีขน  คนไม่มีเพื่อน” แล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร นกไม่มีขนจะมีประโยชน์อะไร นอกจากจะรอวันตายเท่านั้น  คนไม่มีเพื่อนก็เหมือนนกไม่มีขนไม่มีผิด  คิดดูกันให้ดี มนุษย์เป็นสังคม นิยมอยู่กันแบบมีเพื่อน มีมิตร มีสหายจนกลายเป็นพรรคเป็นพวกขึ้นมาในภายหลัง ความหวังที่ต้องมีเพื่อน มีมิตร มีสหาย ก็เพื่อเป็นอุบายหาทางช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในคราวจำเป็น เพราะงานบางอย่างคนเราอาจจะทำคนเดียวได้สำเร็จ แต่งานบางอย่างอาจจะเหลือกำลังของคนคนเดียวจะทำได้ ต้องอาศัยกำลังของคนหลายคนงานนั้นจึงจะทำให้สำเร็จได้ด้วยดี ด้วยเหตุนี้ คนเราจึงจำเป็นต้องมีเพื่อน มีมิตร มีสหาย จนกลายเป็นค่านิยมในสังคมทั่วๆ ไป ใครไม่มีเพื่อน ไม่มีมิตร ไม่มีสหาย ก็กลายเป็นคนมีปมด้อยในทางสังคม ขาดความนิยมนับถือในระหว่างเพื่อนฝูง คำว่า “เพื่อน” ได้แก่คนที่ร่วมกันอยู่ เช่น ร่วมอยู่ร่วมกิน ร่วมหลับร่วมนอน ร่วมการร่วมงาน ร่วมปรึกษาหารือ รวมถึงคนที่ชอบพอกัน มีสัญชาติหรือมีลักษณะอันเดียวกัน เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นต้น ส่วนคนที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กันจริงๆ เรียกว่า “สหาย” นี่คือความหมายตามตัวอักษร ถึงคราวสุขก็สุขด้วยกัน ถึงคราวทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกัน มันจึงจะเป็นสหายกันได้  ถ้าตรงกันข้ามมันก็ไม่ใช่สหาย กลายเป็นเกลอไป  พวกเกลอนั้นเผลอไม่ได้ เผลอเมื่อไรได้เรื่องทุกที เคยได้ยินคนเขาโกงกินกันไหมละ นั่นแหละฤทธิ์ของเจ้าเกลอมันละ..พากันจำเอาไว้..  เพื่อนกิน เพื่อนกัน เพื่อนรู้ไม่ทัน เพื่อนกันมันก็โกงกิน นี่แหละเกลอ อย่าเผลอเป็นอันขาด (ชาติเกลอเผลอไม่ได้)

อีกนัยหนึ่งคำว่า “สหาย” นี้ ท่านกล่าวไว้ว่า สหายเป็นมิตรของคนมีกิจเกิดขึ้นบ่อยๆ หมายความว่า บุคคลที่มีความต้องการ มีธุระกิจการงานเกิดขึ้นบ่อยๆ สม่ำเสมอ เดี๋ยวก็เรื่องนั้น เดี๋ยวก็เรื่องนี้ ความต้องการเกิดขึ้นไม่ขาดสาย สหายจึงเป็นมิตรร่วม ทำกิจกับบุคคลประเภทนี้ รวมความแล้ว สหายกับมิตรมีความใกล้ชิดกันจนแยกไม่ค่อยจะออก บอกได้ว่า สหายก็คือมิตร มิตรก็คือสหาย

เรื่อง “นกมีขน  คนมีเพื่อน” นี้ จะขอกล่าวเฉพาะคนมีเพื่อน ส่วนนกมีขนนั้นขอยกไว้ ชีวิตของคนเรานั้นจะก้าวหน้า ถอยหลัง โด่งดัง จมดิ่ง สิ่งแรกที่สุด ก็คือการมีเพื่อน การคบเพื่อน การมีสหาย การคบสหาย ภาษาทางศาสนาให้คติว่า “เสวนา” ได้แก่การซ้องเสพสมาคม ไปมาหาสู่ร่วมอยู่ร่วมกิน ร่วมการร่วมงานและร่วมอะไรอีกมากมาย พากันบรรยายเอาเองก็แล้ว สรุปลงในเพื่อนร่วมคิด เพื่อนร่วมพูด เพื่อนร่วมทำ กิจกรรมของคนเราโดยสรุปแล้ว ก็มีเพียงบางอย่าง คือ ทำ พูด คิด การคบค้าสมาคมกันนี้แหละมีบทบาทอันสำคัญมากต่อการดำเนินชีวิตของคนเรา คบคนดี ก็เป็นศรีแก่ตัว ถ้าคบคนชั่วก็พาตัวฉิบหาย อุบายแห่งการคบเพื่อนนี้ พระพุทธเจ้าของพวกเราทั้งหลาย ทรงรับสั่งไว้ว่า

                        อเสวนา  จ  พาลานํ      ปณฺฑิตานญฺจ  เสวนา.

การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิตเป็นมงคลชีวิตอันสูงสุด ดังนี้

นี่คือหลักในการคบเพื่อน ที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนเอาไว้ ดังนั้น ถ้าเราจะคบค้าสมาคมกับใคร ก็ควรพิจารณาหน้าหลังระวังให้ดี อย่าผลีผลามคบใครตามความพอใจของตน เดี๋ยวจะส่งผลให้เกิดปัญหาความทุกข์ความเดือดร้อนในภายหลัง ต้องระวังให้มาก “เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก” ขอฝากคำพังเพยของคนโบราณนี้ เพื่อนำไปใช้ในการคบเพื่อน จะได้เตือนใจให้ระมัดระวัง หวังว่ามนุษย์ในยุคเทคโนโลยีก้าวหน้า คอมพิวเตอร์นำสมัย คงไม่พากันเยาะเย้ยไยไปในข้อเสนอแนะของคนโบราณนี้

เพื่อเป็นการสะดวกในการพิจารณาปัญหาเรื่องการคบมิตรก็ขอนำเอาหลักใหญ่ๆ ในเรื่องมิตรสหายมาบรรยายให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาดังต่อไปนี้

มิตรสหายในฝ่ายที่ไม่ดี เรียกว่า “มิตตปฏิรูป” กล่าวว่าคนเทียมมิตร มิใช่มิตร มี ๔ จำพวก คือ

๑.      คนปอกลอก

๒.     คนดีแต่พูด

๓.     คนหัวประจบ

๔.     คนชักชวนในทางฉิบหาย

บุคคลทั้ง ๔ จำพวกนี้ไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร ดังนั้น จึงไม่ควรคบ เป็นบุคคลประเภทคบไม่ได้ ขืนคบไปก็มีแต่ความฉิบหายล่มจม

๑.      คนปอกลอก มีลักษณะ ๔ อย่าง คือ

๑.      คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว

๒.     เสียแต่น้อย คิดเอาให้ได้มาก

๓.     เมื่อมีภัยแต่ตัว จึงจึงรับกิจของเพื่อน

๔.     คบเพื่อนเพราะเห็นประโยชน์แก่ตัว

คนปอกลอก ฟังแต่ชื่อก็น่ากลัว ทั้งปอกทั้งลอก แล้วจะคบกันได้อย่างไร ขืนคบไปก็เหลือแต่กระดูก ถูกแล้วที่พระท่านสอนไม่ให้คบคนปอกลอกเป็นสหาย ดูรายละเอียดทั้ง ๔ ลักษณะของคนปอกลอกให้ดี ก็เหมือนลักษณะของคนอัปรีย์ไม่มีผิด คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่เหลียวแลประโยชน์ของเพื่อน คนอะไรเหมือนกะเปรต เห็นแก่ตัว ทำความชั่วเพราะความอยาก จะเอาให้มาก แต่เสียให้น้อย ไม่ค่อยจะให้ มีแต่จะเอา เสียให้น้อยแต่คิดเอาให้มาก อยากได้จนเกิดควร เมื่อจวนตัวจึงรับทำกิจของเพื่อน คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตน นี่คือธาตุแท้ของคนปอกลอก บอกให้พิจารณาเวลาจะคบกับใครๆ ให้เอาลักษณะทั้ง ๔ นี้ทดสอบดู ก็จะรู้ทันทีว่า เป็นคนประเภทควรคบ หรือไม่ควรคบ

๒.     คนดีแต่พูด มีลักษณะ ๔ อย่าง คือ

๑.      เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศัย

๒.     อ้างเอาของที่ยังไม่มีมาปราศัย

๓.     สงเคราะห์ด้วยสิ่งที่หาประโยชน์มิได้

๔.     ออกปากพึ่งไม่ได้

คนดีแต่พูดหรือพวกพูดมาก-ปากมาก ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่พึงระวัง คนเราพังเพราะเพื่อนประเภทนี้มามากต่อมากแล้ว ดีแต่พูดถึงเรื่องในอดีต และอนาคตกำหนดลงไปแน่นอนไม่ พูดลมๆ แล้งๆ แสดงถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วว่า ถ้าเพื่อนพบฉันในอดีตที่ผ่านมา ปานนี้เพื่อนก็สบายไปแล้ว เสียใจที่สมัยนั้นเพื่อนกับฉันไม่ได้พบกัน แต่ไม่เป็นไร ต่อไปในอนาคตข้างหน้า ฉันหวังว่าจะมีโอกาสช่วยเหลือเพื่อนฝูงอย่างเต็มที่ มีอะไรในอนาคตข้างหน้าบอกมาเลยเพื่อนรัก ฉันจักช่วยด้วยความจริงใจ เห็นไหมละ ลมปากคนดีแต่พูด มันทำงานอย่างนี้ ระวังให้ดี อย่าคบคนดีแต่พูดเป็นเพื่อน เพื่อนตนเองเสมอ อย่าเผลอเป็นอันขาด

๓.     คนหัวประจบ มีลักษณะ ๔ อย่าง คือ

๑.      จะทำชั่วก็คล้อยตาม

๒.     จะทำดีก็คล้อยตาม

๓.     ต่อหน้าว่าสรรเสริญ

๔.     ลับหลังตั้งนินทา

คนหัวประจบ หรือพวกประจบสอพลอปอปั้นนี้ ควรระวังให้ดี อย่าผลีผลามเห็นตามที่เขาประจบทุกอย่างไป คำก็ยอ สองคำก็ยอ ประจบสอพลอไม่ว่าเราจะทำชั่วหรือทำดี เพื่อนแบบนี้เรียกว่า เพื่อนยุให้เราตกต้นยอตาย อย่าไปหลงงมงาย เชื่อลูกยอที่หมอยกให้ ต่อหน้าเขาว่าคำสรรเสริญ แต่พอลับหลังเขาก็ตั้งคำนินทา นี่คือธาตุแท้คนหัวประจบอย่าคบเป็นเพื่อน พระท่านเขียนให้หลีกเว้น เหมือนเป็นอสรพิษ เพราะมันเป็นพิษเป็นภัย คบไปก็เกิดความเสียถ่ายเดียว

เราทำดี              เขาคล้อยตาม             นั้นงามมาก

แต่ก็อยาก                 เตือนจิต                   มิตรสหาย

อย่าหลงใหล              คำยกยอ                   พ่อยอดชาย

เดี๋ยวจะตาย               ตกต้นยอ                  คอกระเด็น

๔.     มิตรชักชวนในทางฉิบหาย มีลักษณะ ๔

๑.      ชักชวนดื่มน้ำเมา

๒.     ชักชวนเที่ยวกลางคืน

๓.     ชักชวนให้มัวเมาในการเล่น

๔.     ชักชวนเล่นการพนัน

คนชักชวนในทางฉิบหาย ได้แก่พวกฉุดกระชากลากให้เราตกต่ำลง แทนที่จะชักชวนไปในทางศีลทางธรรม กลับกดลงให้ต่ำ ชักชวนไปดื่มน้ำดองของมึนเมา เหล้าสุรา เที่ยวบาร์ เที่ยวคลับ-ผลับ บังคับให้ลุ่มหลงมัวเมาในการเล่นประเภทต่าง ๆ นานา อันเป็นยาเสพติด ชนิดเลิกไม่ได้ ชักชวนให้เล่นการพนันขันต่อ ก่อนให้เกิดความฉิบหาย ทำลายทรัพย์สิน เงินทองของมีค่า เวลาได้ก็ดีใจ เวลาเสียไปก็เกิดทุกข์ มีแต่เรื่องสนุกๆ ทั้งนั้น ที่เพื่อนผลักดันให้เราฉิบหาย นี่แหละท่านทั้งหลายคือเพื่อนที่มันกดเราให้ต่ำลง ด้วยการชักชวนไปทำความชั่ว มีประเภทต่าง ๆ ดังตัวอย่างที่กล่าวมา  คนปอกลอก  คนดีแต่พูด  คนหัวประจบ  คนชักชวนในทางฉิบหาย ตามที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ เป็นคนไม่ดี ไม่ใช่มิตร เป็นแต่เพียงคนเทียมมิตรเท่านั้น  ดังนั้นจึงไม่ควรคบค้าสมาคมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมคิด เป็นมิตรร่วมพูด และเป็นเพื่อนร่วมทำ ให้พากันงดเว้นโดยเด็ดขาด นักปราชญ์ท่านเตือน อย่าคบเพื่อนไม่ดี

ส่วนมิตรสหายในฝ่ายที่ดี เรียกว่า  “มิตรแท้” มิตรแท้ก็มี ๔ จำพวกเหมือนกัน คือ

๑.      มิตรมีอุปการะ

๒.     มิตรร่วมสุขร่วมทุกชข์

๓.     มิตรแนะประโยชน์

๔.     มิตรมีความรักใคร่

มิตรทั้ง ๔ จำพวกนี้ เป็นมิตรแท้ ควรคบหาสมาคมด้วย จะช่วยให้เกิดศิริมงคล ส่งผลให้มีความเจริญด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกประการ

๑.      มิตรมีอุปการะ มีลักษณะ ๔ อย่างคือ

๑.      ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว

๒.     ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว

๓.     เมื่อมีภัยก็เป็นที่พึ่งพากันได้

๔.     เมื่อมีธุระ ช่วยออกทรัพย์ให้ไม่พูดแต่ปาก

มิตรมีอุปการะ ได้แก่มิตรที่จริงใจรักใคร่กันจริง ๆ รักเสมอด้วยการรักชีวิตของตน ไม่ใช่รักกันแต่ปาก หากแต่รักด้วยชีวิตจิตใจ เมื่อรักเพื่อนเสมือนชีวิต ก็ควรหาทางป้องกันเพื่อนให้มีความปลอดภัย เพื่อนคนไหนประมาทขาดสติ ก็ดำริหาทางป้องกันเพื่อนคนนั้น ด้วยการแนะนำตักเตือนเพื่อไม่ให้เกิดความประมาท เพราะว่าความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย พร้อมกันนั้นก็หาอุบายป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ไม่ให้เกิดความเสียหาย เมื่อมีภัยอันตรายเกิดขึ้น ก็พึ่งพาอาศัยกันได้ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยกันรักษาพยาบาล คราวมีธุระการงานเกิดขึ้น ก็ช่วยออกทรัพย์ให้จับจ่ายใช้สอย ไม่ใช่คอยแต่จะพูดด้วยปาก หากไม่ช่วยอะไรเลย มิตรมีอุปการะมากดังที่กล่าวมานี้ เป็นมิตรที่ดี ควรคบค้าสมาคมด้วย เพื่อช่วยให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

๒. มิตรร่วมสุข ร่วมทุกข์ มีลักษณะ ๔ ประการ คือ

๑. ขยายความลับของตนแก่เพื่อน

๒. ปิดความลับของเพื่อนไม่ให้แพร่งพราย

๓. ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ

๔. แม้ชีวิตก็สละแทนกันได้

มิตรร่วมสุข ร่วมทุกข์ มิตรประเภทนี้ตรงกับคำชาวบ้านพูดกันว่า “เพื่อนตาย” นั้นเอง “เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก” มิตรร่วมสุข ร่วมทุกข์นี้ เป็นยอดแห่งมิตรชนิดที่หาได้ยากจริงๆ ถ้าใครมีมิตรประเภทนี้ ก็เป็นศรีแห่งตนจนวันตาย ขยายความลับของตนแก่เพื่อน เสมือนหนึ่งว่าเพื่อนเป็นคน ๆ เดียวกับตน ตนมีความลับอะไร ก็ให้เพื่อนได้รู้ความลับนั้นทุกอย่าง ไม่ต่างอะไรกับตน เพื่อนที่ดีต้องไม่มีลับลมคมใน มีอะไรก็บอกกันให้หมด เพื่อนแท้ต้องคบกันแบบเปิดอก อย่าปกปิดความลับให้เป็นที่ระแวงแคลงใจสงสัยซึ่งกันและกัน ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งของมิตรประเภทนี้ ก็ต้องปิดความลับของเพื่อนให้ดี อย่าผลีผลามแพร่งพรายขยายความลับของเพื่อนให้ใครๆ รู้เป็นอันขาด หัวขาดตีนเด็ดอย่างไรก็อย่าให้ใคร ๆ ล่วงรู้ความลับของเพื่อน ความลับของเพื่อนก็เหมือนความลับของตัว รั่วไม่ได้ รู้ได้เฉพาะสองคน คือตนกับเพื่อน อย่าให้เข้าหูคนที่สาม

ถึงยามวิบัติฉิบหาย ก็ยึดอุบายไม่ทอดทิ้งกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามวิบัติ แม้แต่ชีวิตถ้าถึงคราวจำเป็นจริงๆ ก็สละแทนกันได้ นี่แหละคือลักษณะที่แท้จริงของมิตรร่วมสุข ร่วมทุกข์ ถ้าหากลักษณะดังกล่าวนี้ มีอยู่ในบุคคลใด ก็ควรใฝ่ใจคบค้าสมาคมกับบุคคลนั้น อันจะก่อให้เกิดศิริมงคลในชีวิตตลอดไป

๓. มิตรแนะประโยชน์ มีลักษณะ ๔ คือ

๑. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว

๒. แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี

๓. ให้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง

๔. บอกทางสวรรค์ให้

มิตรแนะประโยชน์ เป็นประเภทผู้แนะแนวทาง ผู้ชี้ทาง เพื่อนที่ดีมีลักษณะคอยแนะแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนตลอดเวลา เวลาเห็นเพื่อนจะไปทำอะไรไม่ดีงามก็ห้ามปรามตักเตือน บอกเพื่อนว่า “ความชั่วไม่ทำนั่นแหละดี” ห้ามไม่ให้ทำความชั่วทุกอย่าง แนะแนวทางให้สร้างแต่ความดี หาโอกาสให้เพื่อนได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง แต่สิ่งที่ดีมีคุณค่าในทางจิตใจ แล้วก็แนะให้ฝึกฝนอบรมจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรม นี่คือมิตรแนะประโยชน์ โปรดคบกับมิตรประเภทนี้ วิถีชีวิตจะมีแต่ความปลอดภัย

๔. มิตรมีความรักใคร่ มีลักษณะ ๔ คือ

๑. ทุกข์ ทุกข์ด้วย

๒. สุข สุขด้วย

๓. โต้เถียงคนที่ติเตียนเพื่อน

๔. รับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อน

มิตรมีความรักใคร่ ได้แก่มิตรที่มีเมตตา กรุณาต่อกัน รักกันฉันพี่น้องที่ดีทั้งหลาย เป็นมิตรทั้งทางกายและจิตใจ ไม่ใช่เป็นแต่ปาก ถึงคราวทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกัน นอนกลางดิน กินกลางทรายด้วยกัน ถึงคราวสุขก็ต้องสุขด้วยกัน อยู่ปราสาทราชมณเฑียรก็อยู่ด้วยกัน รักเพื่อนเสมือนรักตน รักตนก็เสมือนรักเพื่อน ถ้ามีคนมาตำหนิติเตียนเพื่อนต่าง ๆ นานา ก็อาสาโต้เถียงแทน เขาติเตียนเพื่อนก็เหมือนติเตียนตน ต้องหาเหตุผลมาลบล้างคำตำหนิ อันปราศจากความเป็นจริงนั้น ถ้าบังเอิญได้ยินคนเขาสรรเสริญเพื่อนรัก ก็รู้จักรับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อนว่า ถูกต้องแล้ว ที่กล่าวมาทั้งหมะนี้ คือลักษณะของมิตรมีความรักใคร่ ถ้าลักษณะเหล่านี้มีในบุคคลใด ก็ควรเข้าใกล้คบหากับบุคคลนั้น ในฐานะเป็นเพื่อนกันก็จะก่อให้เกิดความสุขร่วมกัน อันเป็นยอดปรารถนา

นี่แหละท่านทั้งหลายเรื่องของ “นกมีขน คนมีเพื่อน” ธรรมดาของนกทุกชนิด ทุกประเภทนั้น ข้อสำคัญที่สุด นกทั้งหลายต้องมีขน จึงจะเป็นนกที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข บินสนุกร่อนไปได้ทุกหนทุกแห่ง เพื่อแสวงหาเหยื่อมาเลี้ยงชีพให้ดำรงอยู่ได้ ถ้านกปราศจากขนจะทนเป็นนกอยู่ได้อย่างไร ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้นเอง ดังนั้น นกต้องมีขนจึงจะทนดำรงชีวิตอยู่ในโลกต่อไปได้

ส่วนคนเราทุกคนนั้น ข้อสำคัญต้องมีเพื่อน ถ้าเกิดมาแล้วเป็นคนไม่มีเพื่อน ก็เสมือนหนึ่งต้นไม้ไม่มีกิ่งก้านสาขา แล้วจะหาทางดำรงชีวิตอยู่ในโลกให้มีความสุขได้อย่างไร การดำรงชีวิตอยู่ในโลก จำเป็นต้องมีเพื่อน มีสหาย มีมิตร ช่วยทำกิจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้าหากปราศจากเพื่อน ปราศจากมิตร ปราศจากสหาย ก็จะกลายเป็นคนโดดเดี่ยว เดียวดาย เวลามีภัยอันตรายเกิดขึ้นก็ไม่มีใครช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนี้ การมีมิตร มีเพื่อน มีสหาย จึงมีความหมายสำคัญสำหรับคนเรา

            เกิดเป็นคนอยู่เดียวก็เปลี่ยวจิต

            จำต้องคิดหาสหายไว้เป็นเพื่อน

            เมื่อเราผิดจะได้มิตรไว้คอยเตือน

            ควรมีเพื่อน มีสหาย ไว้ช่วยงาน

เกิดเป็นนกอย่าจนขน เกิดเป็นคนอย่าจนเพื่อน นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ก็เสมือนรถไม่มีล้อ เครื่องบินไม่มีปีก แล้วจะวิ่งจะบินได้อย่างไร ก็คงจอดอยู่กับที่ ไม่มีประโยชน์อะไร เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้มีประโยชน์ โปรดพากันมีเพื่อน มีมิตร มีสหาย จะมีความสะดวกสบาย และมีความคล่องตัวในการประกอบกิจการงานทุกอย่าง ไม่ต่างอะไรกับการมีแก้วสารพัดนึก จะนึกเอาอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา เพราะว่ามีเพื่อน มีสหาย มีมิตร คอยสะกิดเตือนใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรลงไป เพื่อน มิตร สหาย ก็ช่วยขวนขวายเกื้อกูลสนับสนุนตลอดเวลา แต่ว่าการมีเพื่อน มีมิตร มีสหายนั้น ก็ต้องเป็นมิตรแท้ เพื่อนแท้ สหายจริง อิงอยู่ในมิตร ๔ จำพวก คือ มิตรมีอุปการะ มิตรมีความรักใคร่ มิตรแนะประโยชน์  มิตรร่วมสุข ร่วมทุกข์ ผู้ใดมีมิตร มีเพื่อน มีสหาย ทั้ง ๔ จำพวกนี้ ก็จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้า และความปลอดภัยในชีวิต และมิตรที่สำคัญที่สุดอีกประเภทหนึ่งซึ่งจะลืมไม่ได้ ก็ได้แก่บุญกุศล คุณธรรม คุณงามความดี ที่ตนเองทำไว้แล้ว มิตรประเภทนี้จะติดตามเราไปทุกหนทุกแห่งเหมือนเงาตามตัว ฉะนั้น

“เป็นนกต้องมีขน เป็นคนต้องมีเพื่อน”

นี่คือข้อเตือนใจฝากให้แก่ทุกคนด้วยความหวังดี

ธรรมดา  ของนกนั้น   ต้องมีขน

ธรรมดา  ของคน  ต้องมีเพื่อน

ถ้าหากนก  ไม่มีขน  ก็เปรียบเหมือน

กับบ้านเรือน  ไม่มีเสา  ก็เศร้าใจ

ถ้าหากเรา ไม่มีเพื่อน ก็เหมือนกัน

ย่อมโศกศัลย์ จับเจ่า อย่างเศร้าใจ

มองข้างหน้า ข้างหลัง ไม่เจอใคร

ก็ร้องไห้ อยู่คนเดียว เปล่าเปลี่ยวใจ

เมื่อความจริง เช่นนี้ มีปรากฏ

จึงกำหนด นกมีขน ทนบินไป

คนทุกคน ต้องมีเพื่อน เป็นเรือนใจ

ครองชีวิต อยู่ได้ ตลอดกาล

ด้วยเหตุนี้ ปราชญ์เมธี จึงเตือนตัก

ให้รู้จัก ผูกมิตร จิตประสาน

เพื่อนช่วยเพื่อน เกื้อกูล ในการงาน

สุขสำราญ เพราะมีเพื่อน คอยเตือนใจ

ขอเชิญชวน มวลประชา พากันคิด

เพื่อผูกมิตร สร้างเพื่อน เป็นเรือนใจ

จะประกอบ  กิจการ  งานใดใด

มีเพื่อนไว้  นั่นแหละดี  มีมงคล

เมื่อเรามี  เพื่อนดี  เป็นศรีศักดิ์

ให้คนรัก  คนชอบ  กอรปกุศล

จะทำการ  สิ่งใดใด  ก็ได้ผล

เป็นมงคล  ยิ่งใหญ่  อันไพศาล

จึงขอให้  ทุกคน  จงสนจิต

พร้อมให้ใจ  ผูกมิตร  คิดประสาน

เพื่อช่วยเหลือ  เกื้อกูล  ในการงาน

ทุกทุกด้าน  ให้สมบูรณ์  พูนทวี ฯ